วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

จุก เบี้ยวสกุล


ประวัติ

    ในยุคสมัยนี้ หากจะพูดถึงนักเขียนการ์ตูนที่บรรดานักอ่านการ์ตูนรุ่นใหม่เขารู้จัก ส่วนใหญ่มักรู้จักกับนักแต่งการ์ตูนชาวญี่ปุ่น แล้วนักเขียนการ์ตูนคนไทยล่ะ พวกเขารู้จักใครกันบ้าง แน่นอนว่าส่วนใหญ่มักจะรู้จักนักเขียนการ์ตูนที่เขียนลงใน ขายหัวเราะ มหาสนุก เท่านั้น แต่สำหรับนักอ่านการ์ตูนที่มีอายุหน่อย ก็จะรู้จักบุคคลท่านนี้ และก็ยกย่องว่า เป็นสุดยอดนักเขียนการ์ตูนไทยคนหนึ่งในวงการการ์ตูนไทยเลยทีเดียว และเป็นแรงบันดาลใจแก่นักเขียนการ์ตูนไทยยุคหลังๆอีกด้วย ด้วยสไตล์ลายเส้น การแต่งเรื่องที่มีความเป็นเอกลักษณ์เป็นของตนเอง บุคคลที่เราจะมาแนะนำก็คือ "จุก เบี้ยวสกุล"
 
  จุก เบี้ยวสกุล หรือ จุลศักดิ์ อมรเวช เกิดวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2485 (แต่บางแหล่งระบุว่าเกิดปี พ.ศ. 2484) ในช่วงปีพ.ศ. 2499 - 2500 เรียนหนังสือระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เนื่องจากเขารักการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก และรักการวาดการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้เขาตัดสินใจเรียนต่อ สายวิชาชีพช่างที่โรงเรียนเพาะช่าง
จุดเริ่มต้นในเส้นทางการเขียนการ์ตูนของอ.จุก ก็คือ ก่อนที่จะเข้าศึกษาในโรงเรียนเพาะช่าง เขาก็วาดการ์ตูนเรื่อง จอมอภินิหาร หรือ ซูเปอร์แมนไทย ให้สำนักพิมพ์ บางกอก แทน ชุมพร แก้วสาร (นามปากกา หลังฉาก) ซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้

  หลังจากนั้นได้เปลี่ยนแนวการวาดนิยายภาพมาสู่แนวของตนเองในเรื่อง เจ้าชายผมทอง เมื่อปี พ.ศ. 2501 โดยวาดพระเอกให้มีหน้าตาคมคาย ไว้ผมสีทองคล้าย เอลวิส เพรสลีย์ โดยสำนักพิมพ์แพร่อักษรเป็นผู้จัดพิมพ์และได้รับความนิยมจากผู้อ่านอย่างยิ่ง

  หลังจากนั้นมีผลงานนิยายภาพต่อมาอีกหลายเรื่อง เช่น มังกรสามหัว พันมังกร อัศวินดาบดำ ฯลฯ ในนามสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ปีพ.ศ.2502 อ.จุก ใช้นามปากกา จุลศักดิ์ ในการแต่งเรื่อง มังกรสามหัว และปีพ.ศ. 2503 นิยายภาพผ่านฟ้า มีการ์ตูนขนาด 10 เล่มจบ ในเรื่อง อัศวินดาบดำ และก็มีผลงานเรื่องอื่นๆตามมาอย่าง พันมังกร
,เพชรพระอุมา ,ขวานฟ้าหน้าดำ, เจ้าชายอนิรุธ ,เจ้าชายผมทอง

  ในปีพ.ศ. 2507 จุก เบี้ยวสกุล ได้หันมาทำหนังสือการ์ตูนแนวครอบครัวชื่อ เพื่อนหนู โดยมีนักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่อย่าง เตรียม ชาชุมพร รวมอยู่ด้วย ในช่วงปีพ.ศ. 2509-2516 เขาทำหนังสือ การ์ตูนขวัญใจ ทั้งหมด 32 เล่ม ซึ่งก่อนหน้านั้น ในช่วงปี 2510-2512 ขณะที่ จุก เบี้ยวสกุล อยู่ที่อุบลราชธานี ได้ส่งนิยายภาพ สาวน้อยอภินิหาร ลงตีพิมพ์ในนิตยสารจักรวาล (เพชรพระอุมา) ที่ลงถึงสัปดาห์ละ 20 หน้า รวม 400 หน้า ซึ่งรวมเล่มได้ถึง 8 เล่ม
  ปี 2523 จุก เบี้ยวสกุล เขียนการ์ตูนชุดสมุนไพรให้คุณค่าลงในนิตยสารเรื่องจริงรายสัปดาห์ (ฉบับละ 2 รูป) และต่อมารวมเล่มเป็นครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ธรรมชาติ เมื่อปี 2529
  ปี 2544 ได้มีการวบรวมผลงานบทความ รากแก้วการ์ตูนไทย ที่จัดทำเป็นหนังสือ ตำนานการ์ตูนไทย (LEGEND OF CARTOONS AND COMICS) โดยสำนักพิมพ์แสงดาว ซึ่งนับเป็นบันทึกประวัติศาสตร์วงการการ์ตูนไทยที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุดเล่มหนึ่ง

  เบื้องหลังการทำงานของ จุก เบี้ยวสกุล นั้น แต่เดิมนั้น เขาจะใช้ปากกาในการวาดภาพ และเขาก็เป็นคนแรกที่เลิกใช้ปากกา (ยกเว้นเขียนตัวหนังสือบรรยายเรื่อง) และหันมาใช้พู่กันในการวาดภาพแทน เพราะในการเขียนฉากการต่อสู้ หรือการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ต้องแสดงอารมณ์แรงๆในการฟันดาบนั้น การใช้พู่กันจะดูมีชีวิตชีวามากกว่า และที่มาของนามปากกา จุก เบี้ยวสกุล นั้น เขาก็เอามาจากชื่อของตัวละครคนหนึ่งในละครเรื่อง หนึ่งต่อเจ็ด ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของ ส. อาสนจินดา
  ตลอดชีวิตของ จุก เบี้ยวสกุล เขาก็ยังคงทำงานเกี่ยวกับการ์ตูนตามที่เขารัก และมีผลงานอย่างต่อเนื่องทั้งนิยายภาพ ภาพปกและบทความสารคดีการ์ตูนลงพิมพ์มากมาย ในบั้นปลายชีวิต จุก เบี้ยวสกุล ก็ยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมการ์ตูนไทย กรรมการที่ปรึกษาสถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก พร้อม ๆ กับเขียนนิยายภาพอิงคติสอนใจในหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ (ฉบับเสาร์ อาทิตย์) ในเครือบริษัทวัฎฎะ คลาสสิฟายด์ส ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในปอดในวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 ด้วยวัยเพียง 62 ปี

ผลงาน

  
  • พ.ศ. 2499 จอมอภินิหาร หรือ ซูเปอร์แมนไทย
  • พ.ศ. 2501 เจ้าชายผมทอง
  • พ.ศ. 2503มังกรสามหัว
  • พ.ศ. 2503 อัศวินดาบดำ
  • พ.ศ. 2507 เพื่อนหนู หนังสือการ์ตูนแนวครอบครัว
  • พ.ศ. 2509 หนังสือการ์ตูนขวัญใจ
  • พ.ศ. 2510 สาวน้อยอภินิหาร และเพชรพระอุมา
  • พ.ศ. 2523 สมุนไพรให้คุณค่า ลงในนิตยสารเรื่องจริง รายสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีภาพปกการ์ตูนเล่มละบาทของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น
  • พ.ศ. 2544 ตำนานการ์ตูนไทย ผลงานรวมบทความ “รากแก้วการ์ตูนไทย”
  • พ.ศ. 2545 ภาพปก “สามเกลอ” พิมพ์ใหม่ของสำนักพิมพ์แสงดาว
  • พ.ศ. 2547 ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมการ์ตูนไทย


https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=6705293363659540054#editor/target=post;postID=7764626273907276920
ประวัติศาสตร์เล่มละบาท?



"แต่ก่อนเล่มนึงมันเคยขึ้นถึง 32 หน้าด้วยซ้ำไป ยุคที่ว่ามันกระดาษถูกนะ แล้วก็ลดเหลือ 24 พอ 24 ก็แพงอีก ก็เลยเหลือยกเดียว 16 หน้า พอ 16 หน้ายุคหลังบาทเดียวก็ขายไม่ได้แล้ว แต่จะลดกระดาษก็อีกลดไม่ได้เพราะหน้านึงมันน้อยมากทีนี้ก็เลยรวมเป็น 3 เรื่องขาย 5 บาท..." วัชรินทร์ เรียม อดีตนักเขียนการ์ตูนเล่มละบาทฝีมือดีอีกคนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของการ์ตูนเล่มละบาท

"เล่มละบาทขายกันมา 30 ปีได้นะ ส่วน 5 บาทนี่ประมาณซัก 7 ปีได้ แล้วก็มาจนถึงวันนี้..." เล่มละ 5 บาทนี่มันมีผสมกันระหว่างนักเขียนรุ่นเก่าที่มีไม่กี่คนแล้วแหละ เพราะว่ามันจะมีเด็กใหม่มาส่วนใหญ่ คนรุ่นเก่าเขียนน้อยลง เพราะค่าเขียนมันถูก ที่ขายเล่มละ 5 บาทนี้มันไม่ได้เหมือนเล่มละบาทนะ เล่มละบาทนี่นักเขียนจะอยู่ได้เลย ค่าเขียนจะ 1,000 บาทอะไรอย่างนี้ สมัยล่าสุดก่อนที่ผมจะเลิกเขียนค่าแรงก็ตกเรื่องละ 1,600 เป็นราคาที่สูงมากนะ ซึ่งถ้ามารวม 5 บาท ราคาอย่างนี้มันก็จะขายไม่ได้อีกเพราะว่าต้นทุนจะสูง ต้องเอาเด็กๆ หน้าใหม่ ราคาก็น่าตกใจมากไม่น่าเขียน ได้ประมาณ 400 - 500 บาทต่อเรื่องมั้ง ผมไม่ค่อยแน่ใจ"

เมื่อเงื่อนไขทางด้านราคาเปลี่ยนไปเรื่องของคุณภาพก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

"แต่ก่อนการ์ตูนเล่มละบาทมันจะตัวใครตัวมัน เรื่องนึงก็คนเดียว จะวัดฝีมือไปเลย นักเขียนก็ค่อนข้างจะมีคุณภาพ พอหลังๆ เขาสามารถเอาไปผสมได้ มันทำให้แฟนๆ ผิดหวังเพราะว่าจะเอาของเก่ามาเวียนพิมพ์ซ้ำ แล้วก็เปลี่ยนปก เพื่อลดต้นทุน"

"ความจริงก็คุยกับเพื่อนๆ ก็เสียดายนะที่ว่าเราน่าจะทำกันให้ดีๆ ผมเลิกมาหลายปีแล้ว หลายคนก็เลิก นักเขียนรุ่นเก่าๆ ก็จะเขยิบไปทำงานอย่างอื่น อย่างคุณบุญถิ่น ทวยแก้ว ผู้กำกับหนังฮวงจุ้ยนั่นก็นักเขียนการ์ตูนเล่มละบาท พอเขียนการ์ตูนสักพัก เขาก็เขยิบไปทำโฆษณา สตอรี่บอร์ด สักพักก็ไปสร้างฉาก ทีนี้ก็กำกับเลย ถือว่าเป็นนักเขียนการ์ตูนรุ่นพี่ที่เขาได้ดี"

*****

สำหรับปัจจุบันนั้นการผลิตการ์ตูน 3 เรื่อง 5 บาทมีสำนักพิมพ์เพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่ทำอยู่ ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ เพื่อนแก้ว,ชายสยาม,ธนสาส์น,การ์ตูนบันเทิง,เสริมมิตร,การ์ตูนไทย,ประชาช่าง ซึ่งผลกำไรของมันนั้นก็ไม่ได้สูงมากมายเท่าใดนักหากแต่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าพออยู่ได้ โดยสายส่งหนังสือเจ้าหนึ่งบอกว่าบริษัทของตนเองส่งหนังสือให้กับสำนักพิมพ์การ์ตูน 3 เรื่อง 5 บาทนี้สองเจ้าด้วยกัน ซึ่งถัวเฉลี่ยแล้วจะมีหนังสือการ์ตูน 3 เรื่อง 5 บาทนี้ส่งไปตามแผงหนังสือเดือนละ 80,000 กว่าเล่มโดยมียอดขายอยู่ที่ 60 เปอร์เซ็นต์

"ตอนนี้ก็ยังเขียนอยู่ครับแต่ว่าเขียนแต่ปกเพราะมีทีมงานอยู่ เขียนปกก็ได้ 300 - 500 บาท แล้วแต่โรงพิมพ์ว่าจะให้มากให้น้อย" ชาย ชาตรี (สมศักดิ์ เจสกุล) นักเขียนการ์ตูนเล่มละบาทรุ่นเก๋าอีกคนให้ข้อมูล

"ปกนึงนี่แล้วแต่โรงพิมพ์เขาจะพิมพ์ บางที่ก็พิมพ์ 5,000 - 6,000 หรือถ้าบางที่ถ้าขายดีมันก็หมื่นขึ้นไปเหมือนกัน"

แม้จะถูกมองว่าเป็นการ์ตูนที่ไร้เกรด ไม่มีการพัฒนาซึ่งลายเส้นหรือว่าเนื้อหาทว่าเมื่อถามว่าอนาคตการ์ตูนเหล่านี้จะมีอยู่ต่อไปหรือไม่นักเขียนรุ่นเก๋าบอกว่าน่าจะยังไปได้

"ยังไปได้ ยังมีคนอ่านตลอด ระดับกลางๆ ระดับล่างหน่อย พวกแม่ค้ากับสาวโรงงานเป็นลูกค้าประจำ อย่างเด็กโตหน่อยแบบลูกผมเนี่ยเรียนมัธยมเขาก็จะไม่อ่านละ จะซื้อแต่การ์ตูนญี่ปุ่นมาเก็บไว้ ผมทำเขาก็ไม่อ่าน เหลือบๆ มองเฉยๆ ถามว่าเขียนไร แค่นี้ไม่สนใจอะไรเลย ก็ปล่อยเขา"

"คือมันเป็นเรื่องของกระแสด้วย ตอนนี้คนถือหนังสือญี่ปุ่นดูเท่ห์ดี ถ้าถือการ์ตูนไทยเล่มละบาท โห เชยตาย ซึ่งเมื่อก่อนมันก็ไม่ถือว่าเชยนะ มันเคยบูมเมื่อผมอายุซัก 30 กว่า ประมาณ 15-16 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเล่มละบาทขายดีมาก โรงพิมพ์รวยเลย รายได้แบบช่วยเหลือกัน เราอยู่ได้ อะลุ่มอะหล่วยกัน เขาก็อยู่ได้ ผมดำเนินชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ด้วยการ์ตูนนี่ก็อะลุ่มอะหล่วยกันไป ได้บ้างไม่ได้บ้าง นิดๆ หน่อยๆ ก็เอา คิดว่าจะทำอาชีพนี้ไม่เปลี่ยนแล้วแหละ เพราะว่ามันไปไหนไม่ได้แล้ว อายุมาก แล้วเราก็รักมาก"

ด้าน "แดน สุดสาคร" (สนิท สุดสาคร)นักเขียนชื่อดังอีกคนหนึ่งที่ยังคลุกคลีอยู่กับการ์ตูนไทยราคาถูกเล่าให้ฟังว่า..."

"ผมเขียนมาร่วม 30 ปีแล้ว ปัจจุบันนี้ยังเขียนอยู่ให้หลายๆ ที่ แล้วแต่เขาจ้าง ส่วนแนวของเรื่องก็คือเขียนทั่วไปแหละครับ หลายๆ แนว แต่ที่จะขายได้ก็คือเรื่องผี เรื่องชีวิต ยังขายได้อยู่"

ต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่านอกจากจะไร้เกรดไม่มีระดับแล้วการ์ตูนไทยราคาถูกชนิดนี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องลามกนั้น เรื่องนี้แดนขอเถียงว่าไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน

"ผมขอเถียงเลย ผมทำงานมานาน บางทีหน้าปกใส่ยกทรงแล้วเขียนว่าอึ๋มหน่อยใช่มะ เขาก็ตีว่าโป๊แล้ว การ์ตูนญี่ปุ่นหน้าปกสวยๆ ข้างในมีสอดแทรก มีฉาก...หมดเลยไม่มีคนว่า การ์ตูนไทยอย่างเก่งก็แค่กอดๆ หน้าชนกัน แล้วก็บางทีก็ถอดเสื้อก็ไม่ให้เห็น แล้วก็มีบางคนไปตีความว่าการ์ตูนเล่มละบาทเป็นการ์ตูนโป๊ เรื่องนี้นี่ผมไปพูดที่งานไหนผมเถียงตลอดและเอาตัวอย่างมาให้ดูด้วย"

"ตอนนี้มันไม่ค่อยมีคนเขียนแล้วครับ..." แดนบอกเหมือนกับปลงๆ
"คนเขียนตอนนี้จะเน้นไปทางญี่ปุ่นมากกว่า คือเป็นนักเขียนการ์ตูนไทยนี่แหละแต่สไตล์ญี่ปุ่น ไทยแท้อย่างพวกผมเนี่ยเหลือประมาณ 10 กว่าคนมั้ง แต่ว่ากระจัดกระจายกันอยู่ แล้วราคาของพวกเราก็ถูกด้วย ไทยแท้ๆ นี่ถูกมาก เราเขียนตามใบสั่งของนายทุน เรื่องนึงประมาณ 600 บาท 16 หน้า"

"ตอนนี้ผมอายุ 48 เดือนนึงเขียนประมาณ 4 -5 เรื่อง รายได้ไม่ดีเหมือนนักเขียนแนวญี่ปุ่นหรอก คือมันเป็นอย่างไรไม่รู้นะ รู้แต่ว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆ มันก็ออกสไตล์ญี่ปุ่นหมด เขียนเรื่องไทยก็จริงแต่ว่ามันเป็นสไตล์เป็นญี่ปุ่นหมด หน้าตาญี่ปุ่นไปหมดเลย
"ตอนชาละวัน ไกรทอง สไตล์ก็เป็นญี่ปุ่น ขนาดหนุมานยังออกญี่ปุ่นเลย"



บล็อกนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ์ตูนไทยเก่า ที่คนนิยมกัน ที่ขายตามแผงหนังสือ เซเว่น ร้านค้า
แต่สมัยนี้การ์ตูนไทยเริ่มหดหายไปมากขึ้น เพราะอิทธิพลการ์ตูนญี่ปุ่น ได้ครองเมือง
ทําให้การ์ตูนไทยเริ่มหายากหรือสะสมยากมากขึ้น ดังนั้นเราจึงสร้างบล็อกขึ้นมา
เพื่อหาหนังสือเก่าหายาก มาลง

ส่วนใครที่มีฝีมือพอที่จะวาดการ์ตูนได้ก็วาดส่งมาที่บล็อกเราได้